“จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้ จัดหนักเจ้าบ้านบุกจม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5-2 ด้วยแฮตทริกของ เจมี่ วาร์ดี้ พาต้นสังกัดขยับขึ้นไปรั้งหัวตารางศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา
กุนซือสมองเพชรของ “เรือใบสีฟ้า” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า นัดนี้มี เควิน เดอ บรอยน์ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นแกนหลักแนวรุก พร้อมส่ง ริยาด มาห์เรซ ออกยืนหน้าเป้าเอาสกอร์ให้ทีม
ทางด้าน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เทรนเนอร์เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้ จอนนี่ อีแวนส์ ที่พ้นโทษแบนกลับมา ส่วนแนวรุกให้ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ และเจมี่ วาร์ดี้ ช่วยกันทำงาน
เปิดเกมมาได้ 4 นาที เจ้าบ้านก็โชว์ฟอร์มสมศักดิ์ศรีรองแชมป์ฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยการคว้าสกอร์ไปก่อน 1-0 จากจังหวะเตะมุมของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่เปิดเข้าหน้าประตูก่อนที่ เจมส์ จัสติน จะขึ้นโขกแต่ไม่เคลียร์ไปเข้าทางปืนของ ริยาด มาห์เรซ ที่ตามมาเก็บตกก่อนจะหวดเต็มข้อแบบจ่อ ๆ เข้าประตูไป
นาที 14 “เรือใบ” ได้ลุ้นอีกหนจากฝีเท้าของ โรดรี เอร์นานเดซ ที่ตวัดมุมแคบในกรอบเขตโทษ เหินคานกันแบบได้เสียว
นาที 18 แข้งเจ้าบ้านยังทำงานอย่างหนักในการบุกใส่ทีมเยือนแบบไม่ยั้ง คราวนี้เป็น ราฮีม สเตอร์ลิง ที่หลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล และเป็นฝ่ายนายด่าน “จิ้งจอก” ที่กันไว้ได้
นาที 26 เควิน เดอ บรอยน์ หยอดให้ แฟร์นันดินโญ่ ขึ้นเต็มเหน่งหน้าประตู ทว่ามิดฟิลด์บราซิลเลียนขึ้นเบาไปทำให้ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล เซฟไว้ได้ไม่ยาก
นาที 35 เควิน เดอ บรอยน์ ได้โอกาสปั่นฟรีคิกนอกกรอบหยอดไปที่ โรดรี โขกเข้าประตูไปแล้ว แต่ว่าต้องชวดประตูไปเมื่อโดนตีธงล้ำหน้า
สามนาทีต่อมาฝ่าย เลสเตอร์ ขึ้นตีเสมอได้สำเร็จเมื่อ ไคล์ วอล์คเกอร์ ไปเหนี่ยวใส่ เจมี่ วาร์ดี้ จนล้มในกรอบเขตโทษ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นมาซัดจุดโทษ และก็ไม่พลาดเป้า
จบครึ่งแรก เลสเตอร์ ซิตี้ เสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-1
ต่อกันครึ่งหลังนาที 51 เป๊ป ตัดสินใจเรียก แฟร์นันดินโญ่ กลับไปแล้วให้ เลียม ดีแลป หอกดาวรุ่งลงไปแทน
เพียงแค่สองนาที แมนซิตี้ ก็หวิดได้นำอีกครั้งเมื่อ ริยาด มาห์เรซ ดึงลูกตัดหน้ากรอบเขตโทษก่อนจะกดซ้ายหลุดข้างเสาแบบเฉียดฉิว
นาที 54 กลายเป็นฝ่ายทีมเยือนที่บวกสกอร์ไปก่อนในจังหวะที่ ยูริ ตีเลอมันส์ จ่ายให้ ติโมธี คาสตานเญ่ หลุดเข้าไปสุดริมเส้นก่อนจะหักคืนเข้าเขตโทษให้ เจมี่ วาร์ดี้ ปรี่เข้าไปซัดในระยะเผาขนและก็ไม่พลาดเป้า เลสเตอร์ กลับมานำ 2-1
นาที 57 เลสเตอร์ ที่เพิ่งยิงได้ก็ยิ่งคึกหนักจังหวะนี้ เจมี่ วาร์ดี้ คืนให้ เดนนิส ปราต เข้าไปซัดระยะ 25 หลากลางกรอบเขตโทษ บอลพุ่งไปทางโคนเสาทำเอา โมราเอส ต้องพุ่งปัดทิ้งไปอย่างหวุดหวิด
นาทีต่อมา เอริก การ์เซีย พลาดตัดฟาล์วใส่ เจมี่ วาร์ดี้ ลงไปกองในเขตโทษ แต่เจ้าตัวก็ยังลุกขึ้นมาซัดโทษได้อีก และก็ไม่พลาดอีกเช่นเคย พาต้นสังกัดหนีห่าง 3-1
นาที 64 เลียม ดีแลป ขึ้นโขกเน้น ๆ ไปชนคานหลุดออกหลัง ชวดโอกาสตีตื้นอย่างน่าเสียดาย
นาที 77 ลูกทีมของ บีร็อดจ์ ก็ขุดสกอร์เพิ่มจนได้ด้วยฝีเท้าของ เจมส์ แมดดิสัน ที่เพิ่งลงสนามแทน เดนนิส ปราต ที่ปั่นโค้งระยะ 20 หลา มุดเสียบใต้คานแบบที่ว่านายด่าน “เรือใบ” ทำได้แค่มอง
นาที 83 ราฮีม สเตอร์ลิง เปิดฟรีคิก 19 หลา แต่รอบนี้พลาดไปติดกำแพงกลายเป็นลูกเตะมุม แต่ในจังหวะต่อเนื่องนี้เอง มาห์เรซ เปิดมุมซ้ายไปเข้าหัว นาธาน อาเก้ ซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ
นาที 86 แบ็งฌาแม็ง เมนดี้ ทำฟาล์วด้วยการพุ่งเข้าใส่ด้านหลังของ เจมส์ แมดดิสัน ทำให้ทีมเยือนได้จุดโทษ โดย ยูริ ตีเลอมันส์ ทำหน้าที่ลั่นโป้งในนาที 88 และแน่นอนว่าลูกนี้ไม่มีพลาดเป้า
จบเกม เลสเตอร์ ซิตี้ ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5-2 เก็บไปอีก 3 แต้ม ขึ้นรั้งจ่าฝูงด้วยคะแนนสะสม 9 แต้มเท่ากับ เอฟเวอร์ตัน แต่ว่าประตูได้เสียดีกว่า